ทำไมข้าวเหนียวแพง?

ข้าวเหนียวแพง

ทำไมข้าวเหนียวแพง? กรมการข้าวตอบ “ปลูกน้อย-ภัยแล้ง-สต๊อกหมด”

กรมการข้าวระบุ เหตุราคาข้าวเหนียวปรับสูงขึ้นต่อเนื่องเพราะชาวนาปลูกน้อยลงและผลกระทบจากภัยแล้ง ข้าวเหนียวในสต๊อกของโรงสีขายหมดเกลี้ยง ขณะที่ความต้องการบริโภคมีมาก

หลังจากเกิดปัญหาราคาข้าวเหนียวในตลาดปรับขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กก.ละ 40-45 บาท สูงแซงราคาข้าวหอมมะลิ จากภาวะปลายฤดูทำให้สต๊อกข้าวที่ผู้ประกอบการซึ่งโดยปกติจะซื้อสต๊อกข้าวปีละ 1 รอบลดลง ประกอบกับภาวะภัยแล้งที่ทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวเหนียวฤดูกาลใหม่อาจจะลดลงจากปกติ

สำหรับพื้นที่การเพาะปลูกข้าวเหนียวส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง น่าน เป็นต้น และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น สกลนคร นครพนม หนองคาย อุดรธานี กาฬสินธุ์
นายประสงค์ ประไพตระกูล อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่าราคาข้าวเหนียวที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ เกิดจากปริมาณข้าวเหนียวในตลาดมีน้อยมาก ขณะที่ความต้องการบริโภคนั้นมีมาก ทั้งนี้ราคาข้าวเปลือกเหนียวปรับตัวลดลง โดยปี 2560 ชาวนาขายได้เฉลี่ยตันละ 10,188 บาท และปรับตัวลดลงอีกในปี 2561 เฉลี่ยตันละ 9,549 บาท จากภาวะราคาข้าวเหนียวตกต่ำดังกล่าว ทำให้ชาวนาหันไปปลูกข้าวหอมมะลิ และอ้อยแทน

วันขอขมาพระแม่คงคา

ประเพณีลอยกระทง ตามปฏิทินทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี โดยมีคติตามความเชื่อที่ว่า เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ทั้งเพื่อชำระร่างกาย ดื่มกิน รวมไปถึงทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงไปในแหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังถือเป็นการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้าต่างๆ ให้ลอยหายไปกับแม่น้ำอีกด้วย

เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย

แต่ถ้าหากถามถึงประวัติของวันลอยกระทงแล้วละก็… ตามมาเลย เราจะเล่าให้คุณฟังเอง แม้ในประเทศไทยจะไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ว่ากันว่าการลอยกระทง เป็นประเพณีโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง โดยในตอนนั้นเรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า “พิธีจองเปรียง” หรือ “การลอยพระประทีป” นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟอีกว่า เป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย จึงทำให้เชื่อกันว่า งานดังกล่าวนี้น่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน จนได้มีการสืบต่อกันเรื่อยมา ถึงกรุงรัตนโกสินทร์อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน

เปิดประวัติไขมันทรานส์ “Trans Fat”

“ไขมันทรานส์’ อยู่ในอาหารคำต่อไปที่คุณกำลังจะกินไหม? พวกมันมีจุดกำเนิดอย่างไร? จากความก้าวหน้าทางเคมีในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 สู่ภาพของเจ้า ‘ไขมันตัวร้าย’ คู่อริสุขภาพในยุคอาหาร Junk Food ครองเมือง”

การปรากฏตัวของไขมันทรานส์สร้างข้อถกเถียงต่อแวดวงวิทยาศาสตร์มาตลอด ไม่ใช่แค่ในปัจจุบันที่เพิ่งบูมเร็วๆ นี้ แต่ยืดเยื้อเรื้อรังมานานกว่าสิบๆ ปีแล้วจากข่าวล่าสุด ราชกิจจานุเบกษา ประกาศห้ามผลิต จำหน่าย และนำเข้ากรดไขมันทรานส์ เนื่องจากมีหลักฐานชี้ชัดเจนว่า ไขมันทรานส์ส่งผลต่อความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด มีผลบังคับใช้ในอีก 180 วันหรือ 6 เดือนข้างหน้า
ดังนั้นอุตสาหกรรมอาหารจึงต้องรีบขยับตัวรับมือความเปลี่ยนแปลงอันใกล้นี้ แพทย์ในอดีตเคยคิดว่าไขมันทรานส์ดีต่อสุขภาพหากเทียบกับไขมันจากสัตว์ แถมยังมีราคาย่อมเยา จนใครๆ ก็อยากลดต้นทุนไปใส่ในอาหารเสียหมดการเดินทางของไขมันทรานส์จากจุดเริ่มต้นสู่ปัจจุบัน สร้างข้อถกเถียงของอาหารการกินและสุขภาพของคุณอย่างไร

กินเจปีนี้ ห้ามกินอะไรบ้าง

กินเจปีนี้ ห้ามกินอะไรบ้างหลายคนคงเห็นธงเหลืองๆ ปักอยู่ตามร้านอาหาร เป็นสัญญาณที่แจ้งเราว่า เทศกาลกินเจกลับมาอีกครั้งแล้วครับ ซึ่งในปีนี้จะเริ่มกินกันตั้งแต่วันที่ 9 – 17 ตุลาคมนี้ครับ
สำหรับคนที่กินเจเป็นประจําทุกปีก็อาจจะคุ้นเคยอยู่แล้วว่าอะไรกินได้ อะไรห้ามกิน แต่สำหรับมือใหม่หัดกินเจ ต้องฟังทางนี้ครับ  เพราะแอดมินมีคำตอบมาบอก ว่าอะไรบ้าง ที่ห้ามกินช่วงกินเจนี้ (ซึ่งต่างกับการกินมังสวิรัตินะครับ)

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้องงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่เจต่างกับมังสวิรัติตรงที่  มังสวิรัติสามารถทานผักได้ทุกชนิด แต่อาหารเจ ต้องเว้นผักฉุน 5 ประเภท คือ กระเทียม หัวหอม (รวมทั้งหอมแดง หอมขาว หัวหอมใหญ่ ต้นหอม) กุยช่าย หลักเกียว (กระเทียม โทนจีน) และใบยาสูบครับ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง มีสารบางชนิดที่ทำให้ร่างกายทำงานไม่ปกติ